ผมเห็นข่าวที่คนไทยหลายคนกระทั่งคนรู้จักของผมบางคน เชื่อแนวคิดของตำรวจที่ออกมาอ้างว่าการส่งอุยกูร์กลับให้จีนเป็นเรื่องถูกต้อง “ตามหลักกฎหมายปกติ” แล้วก็ได้แต่เศร้าใจ

ไม่แน่ใจว่าความไม่รู้ในเรื่องพวกนี้เป็นความผิดใครกันแน่ แต่คนรุ่นผมที่พอมีความรู้เรื่องพวกนี้อยู่บ้าง ก็มีน่าจะมีส่วนผิด ที่ไม่ได้ออกมาเผยแพร่หรือเรียกร้องให้มากกว่านี้ โพสก็เลยอยากจะเขียนอธิบายสถานการณ์ของอุยกูร์เท่าที่รู้ไว้

อุยกูร์คือใคร

อุยกูร์ คือ กลุ่มชนชาติที่ตั้งรกรากในพื้นที่มณฑลซินเจียงมานานประมาณ 1 พันปี โดยมีพื้นฐานเป็นพวก nomad จากเอเชียกลางตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 9 - 10 แล้วก็ถูกปกครองโดยจีนในช่วงราชวงศ์ชิงในศตวรรษที่ 18 โดยในช่วงประมาณ 100 กว่าปีหลังจากนั้นก็มีความพยายามจะก่อกบฎเพื่อปลดแอกออกจากจีนหลายครั้ง แต่ก็ล้มเหลวทุกครั้ง …ถ้าจะเล่าให้คนไทยฟังก็คงต้องบอกให้นึกภาพพระนเรศวร

เดิมทีใช้ภาษาอารบิคเป็นหลัก ลักษณะเดียวกับกลุ่มประเทศ”สถาน” อย่าง คีร์กิซสถาน, อุซเบกิสถาน,ทาจิกิสถาน แต่หลายปีที่ผ่านมาทางการจีนเริ่มเข้ามงวดมากขึ้นในการบังคับให้ใช้แมนดารินเท่านั้นกระทั่งในชีวิตประจำวัน

หลายส่วนถัดจากตรงนี้เป็น second-hand knowledge หรืออาจจะ third, fourth ที่ผมได้ยินต่อมาจากคนรู้จักทั้งที่เป็นอุยกูร์ ชาวตะวันตก รายงานข่าวจากทั้งจีนและตะวันตก ซึ่งผมได้ประเมินแล้วว่ามันสอดคล้องกับการกระทำปัจจุบันของรัฐบาลจีน และประวัติศาสตร์ที่ผ่านมา ถึงได้เลือกที่จะเชื่อมากกว่า 80% …โปรดใช้วิจารณญาณส่วนตัว

ทำไมต้องหนี

แนวคิดของรัฐบาลจีนมองว่าอุยกูร์เป็นพลเมืองชั้นสามที่ต้องทำให้หายไป ก็คือคำว่า “อุยกูร์” ต้องหายไปจากพจนานุกรมเลย ข่าวจากสำนักของรัฐบาลจีนจะไม่ใช้คำนี้เด็ดขาด ลักษณะเดียวกับที่ไม่ยอมให้มีคำว่า “ประเทศไต้หวัน” คนอุยกูร์มีสถานะทางสัญชาติเป็นคนจีนแต่สิทธิ์ต่างๆในกฎหมายที่คนจีนทั่วไปมีได้ อุยกูร์จะถูกลิดรอนด้วยข้ออ้างประหลาดๆ แต่เถียงไม่ได้

ตัวอย่างที่เห็นได้ในรายงานจากตะวันตก

  • ไม่สามารถเดินทางออกไปต่างมณฑลได้อิสระ ต้องมีการขออนุญาตก่อน …ลองนึกภาพคนเชียงใหม่ อยากไปทำงานที่นครสวรรค์แล้วก็โดนข้าราชการ “จงใจ” บอกปัดแบบขอไปทีว่า “ไม่ได้ๆ” แต่ไม่ให้เหตุผล แล้วก็เถียงไม่ได้ด้วย เพราะถ้าเถียงมากๆจะโดนหมายหัวหรือไม่ก็จับขัง
  • ไม่สามารถเดินทางไปต่างประเทศได้อิสระ คล้ายๆการไปต่างมณฑลแต่เข้มงวดกว่า มีรายงานหลายชิ้นและจากปากคนรู้จักของผมเองที่บอกว่าอุยกูร์ที่จะไปเที่ยวหรือทำงานต่างประเทศ ห้ามไปโดยไม่มีกำหนดกลับชัดเจน (ย้ายไปทำงานต่างประเทศไม่ได้) แล้วก็ห้ามไปโดยที่เอาสมาชิกในครอบครัวไปด้วยทุกคน เพื่อเป็นตัวประกันว่าจะไม่หนีไปเลย
  • การทำธุรกิจในจีน หากเป็นขนาดใหญ่ที่ต้องมีโรงงานหรือเครื่องจักรจะต้องมีใบอนุญาต ซึ่งคนอุยกูร์จะถูกปฏิเสธเสมอ ธุรกิจที่เป็นห้างร้านขนาดใหญ่ซักหน่อยในซินเจียง จะมีเจ้าของเป็นคนจีนที่ย้ายไปตั้งรกรากที่นั้นเกือบ 100%

ทำไมจีนถึงไม่อยากให้อุยกูร์หนีออกจากประเทศ

ผมเชื่อว่านี้เป็นคำถามที่หลายคนสงสัยมาก แล้วก็ยังไม่เคยมีใครให้คำตอบที่ได้รับการยอมรับในวงกว้างอย่างเป็นทางการ ลองคิดดูง่ายๆว่าถ้าจีนแค่อยากได้ดินแดนของมณฑลแล้วถ้าเค้าจะอพยพหนีออกมาหมด …ก็ดีแล้วไม่ใช่หรอ ?

จีนต้องการแรงงานราคาถูกจำนวนมาก

และอุยกูร์ที่เป็นพลเมืองชั้นสามก็อยู่ในสถานะที่เหมาะสม สามารถกดขี่ได้เต็มที่โดยที่คนจีนจริงๆ ไม่รู้สึกผิด การที่คนอุยกูร์จะอพยพหนีไปหมดโดยเฉพาะพวกกลุ่มวัยแรงงาน เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้

เราใช้ข้อมูลสนับสนุนสมมติฐานนี้จากการที่จีนมี “รัฐวิสาหกิจ” หลายบริษัทในซินเจียงที่ผลิตเส้นไหม ผ้าดิบ รวมถึงแบรนด์เสื้อผ้า เพื่อป้อนให้อุตสาหกรรมในประเทศ

การที่ประเทศจะมีเงินลงทุนทำเรื่องต่างๆ การเก็บภาษีก็เป็นรายได้ทางหนึ่ง แต่รายได้ทางที่คนไทยไม่ค่อยสนใจ คือ เงินจากรัฐวิสาหกิจที่ส่งกำไรให้รัฐบาลโดยตรง

เนื่องจากจีนต้องการพัฒนาสู้กับตะวันตกเพื่อแซงหน้าให้ได้ การขาดแรงงานราคาถูกที่นำไปสู่การขาดศักยภาพในการแข่งขัน ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียแหล่งเงินทุนสำคัญในการใช้พัฒนาประเทศ …เป็นเรื่องที่ยอมไม่ได้ โดยเราจะเห็นได้จากข่าวทั่วไปว่าจีนมีการประกาศลงทุนจากภาครัฐสูงมาก ทั้งด้านสาธารณูปโภค งานวิจัย งานด้านการทหาร

แบรนด์ผลิตเสื้อผ้าเครื่องแต่งกาย ที่ประกาศไม่รับวัตถุดิบจากซินเจียง จะโดนสำนักข่าวรัฐบาลจีนโจมตีทันที และหลายครั้งก็นำไปสู่การถูกสังคมจีนบอยคอตแบนสินค้าในประเทศ

จีนไม่ต้องการให้เกิดกลุ่ม”ผู้แทน”ทางการเมืองของอุยกูร์

หนึ่งในเหตุผลที่จีนกดดันอุยกูร์อย่างหนัก นอกจากเรื่องแรงงานราคาถูกแล้ว ยังมีเรื่องการเมืองที่เกี่ยวข้องอย่างลึกซึ้ง เพราะถ้ามีกลุ่มผู้แทนที่สามารถพูดแทนอุยกูร์ได้ในระดับสากล นั่นจะกลายเป็นปัญหาใหญ่สำหรับจีน

1. “ทฤษฎีโดมิโน” ของขบวนการแบ่งแยกดินแดน

จีนมีมณฑลที่มีประชากรเป็นชนกลุ่มน้อยหลายแห่ง อย่าง ทิเบต มองโกเลีย รวมถึงซินเจียง ถ้าปล่อยให้อุยกูร์สามารถจัดตั้งตัวแทนทางการเมืองที่ได้รับการยอมรับในระดับนานาชาติ ก็จะเป็นการเปิดช่องให้กลุ่มอื่นๆ ใช้เป็นแบบอย่างในการเรียกร้องเอกราชหรือสิทธิพิเศษ ซึ่งเป็นสิ่งที่จีนต้องการหลีกเลี่ยงอย่างที่สุด

ตัวอย่างเช่น ทิเบตที่เคยมีดาไลลามะเป็นผู้นำทางจิตวิญญาณและทางการเมือง ซึ่งทำให้จีนต้องใช้เวลาและทรัพยากรมหาศาลเพื่อควบคุมการเคลื่อนไหวของชาวทิเบต

ถ้าอุยกูร์มีองค์กรหรือบุคคลที่สามารถทำหน้าที่เป็น “ผู้นำ” ได้ ก็อาจนำไปสู่การเรียกร้องสิทธิมากขึ้นเรื่อยๆ และท้ายที่สุดอาจส่งผลต่อเสถียรภาพของจีนโดยรวม

2. ความกังวลเรื่องการแทรกแซงจากต่างชาติ

จีนมองว่ากลุ่มสิทธิมนุษยชนและองค์กรระหว่างประเทศเป็นภัยคุกคามต่ออธิปไตยของตน โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้ากลุ่มอุยกูร์สามารถหาผู้แทนที่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศตะวันตก เช่น องค์กรที่เกี่ยวข้องกับสหประชาชาติ หรือ NGO ขนาดใหญ่ เพราะสิ่งเหล่านี้อาจนำไปสู่แรงกดดันทางการทูตและมาตรการคว่ำบาตร

จีนเคยมีประสบการณ์ตรงในเรื่องนี้มาแล้ว ในกรณีของฮ่องกงที่มีนักเคลื่อนไหวทางการเมืองได้รับการสนับสนุนจากตะวันตก ส่งผลให้จีนต้องออกกฎหมายความมั่นคงแห่งชาติ และดำเนินมาตรการเข้มงวดกับผู้ประท้วง จีนจึงไม่ต้องการให้เกิดสถานการณ์แบบเดียวกันกับอุยกูร์ในอนาคต

3. การปิดกั้นการสื่อสารของอุยกูร์

เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดกลุ่มผู้แทน อุยกูร์ถูกควบคุมการเข้าถึงอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดียอย่างหนัก ไม่สามารถใช้ VPN หรือแอปพลิเคชันตะวันตกเช่น Facebook หรือ Twitter ได้โดยเสรี เพื่อป้องกันการรวมกลุ่มและสื่อสารกับชุมชนอุยกูร์ในต่างประเทศ

แม้แต่ภายในซินเจียงเอง อินเทอร์เน็ตก็ถูกตรวจสอบอย่างเข้มงวด ร้านอินเทอร์เน็ตคาเฟ่ต้องติดกล้องวงจรปิดและส่งข้อมูลการใช้งานให้เจ้าหน้าที่ทุกวัน ส่วนแอปแชทภายในจีน เช่น WeChat ก็ถูกควบคุมให้สามารถติดตามการสนทนาได้แบบเรียลไทม์ ทำให้การรวมตัวเพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองแทบจะเป็นไปไม่ได้

ทำไมอุยกูร์ถึงหนีมาที่ไทย

ถ้าเรามองจากแผนที่จะเห็นว่าซินเจียงอยู่ติดกับกลุ่มประเทศ”สถาน” ที่มีรากมาจากเอเชียกลางแล้วก็เป็นอิสลามเหมือนกันด้วย แต่ทำไมดันเลือกหนีผ่านไทย ?

…เพราะเค้าเคยลองกันแล้ว ถ้าถูกจับได้จะถูกส่งกลับจีนหมด

กลุ่มประเทศเหล่านั้นเป็นพันธมิตรกับจีนแบบแนบแน่น แล้วก็เคยมีประวัติให้ความร่วมมือกับจีนมาตลอดในการ จับอุยกูร์ที่หนีออกมากลับไป

1. ไทยเป็นประเทศปลายทางของการลักลอบข้ามแดน

ประเทศไทยเป็นเส้นทางลักลอบเข้าเมืองที่ค่อนข้างเปิดกว้าง มีช่องโหว่ให้สามารถเข้ามาได้ง่ายเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียกลาง การเดินทางผ่านพม่าหรือลาว แล้วมาสิ้นสุดที่ไทย จึงกลายเป็นเส้นทางที่ใช้กันมาก

2. ไทยไม่มีนโยบายผลักดันกลับจีนที่ชัดเจน

แม้ว่าจะมีกรณีที่รัฐบาลไทยส่งตัวอุยกูร์กลับจีนในอดีต แต่โดยทั่วไปแล้ว นโยบายไทยเกี่ยวกับผู้อพยพยังไม่ชัดเจนเท่ากับประเทศ “สถาน” ซึ่งให้ความร่วมมือกับจีนอย่างเข้มงวด

3. ชุมชนชาวมุสลิมในไทย

ไทยมีชุมชนมุสลิมขนาดใหญ่ในภาคใต้ และถึงแม้ว่าอุยกูร์จะไม่ได้มีวัฒนธรรมเหมือนกับมุสลิมในไทยโดยตรง แต่ก็ยังมีเครือข่ายช่วยเหลือที่สามารถให้ที่พักพิงและช่วยในการเดินทางต่อไปได้ การอาศัยความสัมพันธ์ทางศาสนาเป็นกลยุทธ์หนึ่งที่ผู้อพยพอุยกูร์ใช้เพื่อหาทางรอด

4. สถานการณ์ของมาเลเซีย

มาเลเซียเป็นจุดหมายปลายทางหลักที่แท้จริงของอุยกูร์มากกว่าประเทศไทย เนื่องจากรัฐบาลมาเลเซียมีจุดยืนที่ชัดเจนในการไม่ส่งตัวอุยกูร์กลับจีน ต่างจากบางประเทศในภูมิภาคที่ให้ความร่วมมือกับจีนในการส่งกลับผู้ลี้ภัยอุยกูร์ หลายกรณีรัฐบาลมาเลเซียปล่อยให้อุยกูร์เดินทางต่อไปยังตุรกีหรือประเทศที่ปลอดภัยกว่า

อุยกูร์ที่หนีมาเป็นคนแบบไหน

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทุกคำขอในการขอให้ส่งตัวอุยกูร์กลับจากรัฐบาลจีนมักจะใช้ข้อหาเป็นผู้ก่อการร้าย ผู้ฝักใฝ่ความรุนแรง ผู้ฝักใฝ่การแบ่งแยกดินแดน เพื่อให้ประชาชนของประเทศปลายทางรู้สึกกลัวและกดดันให้ ผู้มีอำนาจในประเทศตัดสินใจส่งกลับ

แต่ในความเป็นจริง ส่วนใหญ่คือครอบครัวธรรมดาที่มีความฝันเล็กๆ ผมรู้จัก 1 คน ที่ต้องการเปิดร้านเล็กๆ ของตัวเองในบ้านเกิด แต่ถูกบังคับให้เป็นแรงงานในโรงงานของรัฐ โดยไม่มีสิทธิเลือกอาชีพของตัวเอง

เขาแค่ต้องการชีวิตปกติกับครอบครัว แต่จีนมองว่าเขาเป็นภัย เพราะถ้ามีหนึ่งคนปฏิเสธได้ ก็อาจส่งผลให้คนอื่นๆ กล้าที่จะปฏิเสธเหมือนกันกัน ซึ่งจีนใช้การปฏิเสธของการทำงานให้รัฐ เป็นข้ออ้างว่าเขามีแนวโน้มจะปลุกระดมให้เกิดการต่อต้านด้วยความรุนแรง

เมื่อเห็นว่าไม่มีทางสู้ในซินเจียง ก็เลยพาครอบครัวหนีดีกว่า มุ่งหน้าสู่ที่ที่เขาจะสามารถเปิดร้านของตัวเองได้ แม้ว่าจะต้องเผชิญกับความเสี่ยงในการเดินทาง แต่สำหรับเขา ความเสี่ยงนั้นคุ้มค่ากับโอกาสที่ครอบครัวจะได้มีชีวิตที่ดีกว่า

อุยกูร์ที่หนีออกมาส่วนใหญ่ไม่ได้ต้องการแยกตัวจากจีน ไม่ได้ต้องการใช้ความรุนแรง แต่พวกเขาแค่ต้องการชีวิตธรรมดา ต้องการอิสรภาพที่จะเลือกอาชีพ ต้องการชีวิตและการศึกษาที่ดีให้ครอบครัว ซึ่งเป็นสิ่งที่พวกเขาถูกปฏิเสธในบ้านเกิดของตัวเอง

ชะตากรรมของคนที่ถูกส่งกลับจีนหลังจากที่หนีออกมา

ไม่มีใครสามารถยืนยันได้ในตอนนี้ เพราะยังไม่เคยมีใครที่ถูกจับกลับไปแล้วติดต่อออกมาที่โลกภายนอกได้มาก่อน แต่หลายคนก็เดาไปในทางเดียวกันว่า ขนาดแค่ปฏิเสธไม่ยอมทำงานยังโดนจับไปขังได้ แล้วจีนจะปล่อยให้คนที่มีประวัติหนีมีโอกาสที่กลับไปเล่าเส้นทางหนีให้คนอื่นฟังได้หรอ

หลายคนเดาว่าก็คงถูกขังกับบังคับใช้แรงงานไปตลอดชีวิตหรืออย่างน้อยก็หลายสิบปีจนไม่มีแรงเหลือให้หนี