มีโอกาสได้คุยเรื่องการนำ ChatGPT มาทำ use case เฉพาะใช้เองหลายครั้ง เป็นคุยจริงจังแบบโอกาสทำธุรกิจแค่ครั้งเดียว นอกนั้นเป็นคุยเล่นๆ แต่ทุกครั้ง ทุกกลุ่มที่ไปคุยให้ฟังก็ต้องอธิบายเรื่องนี้

ว่า ChatGPT มันมีต้นทุนสูงมาก มากจริงๆถ้าจะทำให้มันแม่นในระดับเดียวกับที่เค้าปล่อยให้เล่น มันไม่ใช่แค่การโยน text จากหนังสือใส่ลงไปใน GPT3 แล้วมันจะใช้งานได้เลย เพราะ ChatGPT มันทำงานได้ดีจากการใช้จำนวน Human Input มหาศาลในการสร้าง Reward Model ภายใน ลองคิดค่าใช้จ่ายดู เอาแบบเร็วๆ น่าจะต้องจ้างพนักงานเต็มเวลาอย่างน้อย 10-20 คน มานั่งคิด prompt แล้วก็คอยให้ feedback คำตอบของ AI ประมาณ 0.5-1 ปี ถ้าออกมาดีก็มีทางไปต่อได้ ถ้าไม่ดีพอก็ต้องเลือกว่าจะหยุดเพื่อ cut loss เมื่อไหร่ นับว่าเป็นแผนธุรกิจที่มีความเสี่ยงสูงพอสมควร

ยกตัวอย่าง เช่น การทำโมเดล instructGPT เพื่อใช้ตอบคำถามในงานกฎหมาย ที่เกือบทุกคนจะมีความคิดประมาณว่า แค่ยัดประมวลแพ่ง ประมวลอาญาลงไปก็ใช้ได้ แต่ในความเป็นจริงเรื่องนี้ก็เป็นเรื่องยากและน่าจะต้องใช้ต้นทุนสูงกว่าโมเดลทั่วไปมาก โดยนอกจากจะต้องรองรับภาษาไทยแล้ว ยังมีเรื่องของ “ภาษากฎหมาย” ที่ในกฎหมายเก่า เช่น ประมวลต่างๆ จะใช้คำพูดที่ต่างกับชีวิตประจำวันโดยสิ้นเชิง การให้ feedback ของ prompt คิดว่าอย่างน้อยช่วงแรก ต้องให้คนทำ AI นั่งประกบกับนักกฎหมายช่วยกันทำไปก่อน ไม่สามารถปล่อยให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งทำคนเดียวได้ ซึ่งก็เท่ากับต้นทุนต้อง x2

สรุปก็คือ ต้องมีทุนที่เยอะพอและเป็นทุนที่ความเสี่ยงสูงด้วย ลองช่วยกันกับคนที่มาปรึกษานั่งทำ budget plan 3 ปีด้วยกัน ตกออกมาได้เฉลี่ยอย่างน้อยปีล่ะ 10-20 ล้านบาท สำหรับงานจริงจัง หรือปีล่ะ 1-3 ล้าน สำหรับงานเล็กๆ ใกล้เคียงกับ hobbyist

ถ้าเป็นเอกชนที่คิดจะพัฒนาเองเพื่อเอาไว้เป็น asset ของบริษัทก็ควรหาคนร่วมทุนหรือให้ทุนจะดีกว่า แต่มันก็ยากเพราะเราต้องบอกคนให้ทุนตั้งแต่ต้นว่าความเสี่ยงมันสูง ยกเว้นจะได้ระดับ SCB, Kbank ลงมาให้ทุนหรือทำเอง ก็คงไม่ต้องห่วงอะไร เพราะเงินจมไปร้อยล้านก็ไม่เดือดร้อน